Last updated: 8 ม.ค. 2561 | 3442 จำนวนผู้เข้าชม |
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 9 ราย คดีเงินทอนวัดในจังหวัดนราธิวาส ยะลา และสงขลา
วันที่ 8 มกราคม 2561 เวลา 13.30 น. สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่าตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมีพลตำรวจเอกสถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหานางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับพวก รวม 9 คน ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เกี่ยวกับการอนุมัติจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนแก่วัดชลธาราวาส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส วัดยูปาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา และวัดสุริยาราม อ.เทพา จ.สงขลา วัดละ 4,000,000 บาท นั้น
การไต่สวนข้อเท็จจริงพยานหลักฐานฟังได้ว่าในปีงบประมาณ 2558 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 เป็นเงินอุดหนุน 4,501,448,900 บาท โดยงบประมาณอุดหนุนส่วนหนึ่งจำนวน 459,842,000 บาท ใช้ในโครงการ/กิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองพุทธศาสนาศึกษา ทั้งนี้ ในการจัดสรรเงินอุดหนุนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนโครงการ/กิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2558 มีผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (นายพนม ศรศิลป์) เป็นที่ปรึกษา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (นางสาวประนอม คงพิกุล) เป็นประธานกรรมการ
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2558 นายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา ได้ประสานติดต่อกับวัดชลธาราวาส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส วัดยูปาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา และวัดสุริยาราม อ.เทพา จ.สงขลา ว่าจะมีการจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้ แต่มีเงื่อนไขว่าวัดจะต้องคืนเงินส่วนหนึ่งแก่ตน และต่อมาคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนฯ มีการประชุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ได้พิจารณาจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้วัดซึ่งไม่ได้ขอรับเงินอุดหนุน จำนวน 3 วัดดังกล่าวที่นายเสถียร ได้ประสานติดต่อไว้ หลังจากนั้นได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนธุรการเพื่อขออนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสาม ซึ่งต่อมานายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้อนุมัติให้โอนจ่ายเงิน แก่วัดทั้งสามวัดละ 4,000,000 บาท
หลังจากได้โอนเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสามแล้ว นายเสถียรได้แจ้งกับวัดทั้งสามว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้ว จำนวน 4,000,000 บาท ให้คืนเงิน จำนวน 3,200,000 บาท โดยในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 นายเสถียรได้ไปพบกับพระครูบริหารสังฆานุวัตร บริเวณห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาสงขลา เพื่อรับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาส จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายเสถียร พร้อมของกลางเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,200,000 บาท
หลังจากนายเสถียรถูกจับกุม ในช่วงค่ำวันเดียวกัน นางสาวประนอมโทรศัพท์แจ้งนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ขณะดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ให้จัดทำเอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดทำโครงการในพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 3 กิจกรรม เพื่อแสดงว่าจะนำเงินจำนวน 4,000,000 บาท ที่ได้โอนให้กับวัดชลธาราวาส ไปใช้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทำเอกสารเสร็จแล้วจึงได้แฟกซ์เอกสารให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา เพื่อใช้ประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริงที่นายเสถียรถูกจับกุมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยวรรคท้ายในบันทึกข้อความปรากฏข้อความว่าจะมีการจัดประชุมผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 28 สิงหาคม 2558 เพื่อรับมอบเงินจำนวน 3,200,000 บาท (ที่นายเสถียรรับจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร) นำไปดำเนินการตามโครงการดังกล่าว
หลังจากนั้น นางสาวประนอมได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแนบแผนการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว เพื่อให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดประสานคณะสงฆ์ภาคส่วนต่าง ๆ และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่เพื่อร่วมดำเนินการตามแผนโครงการ ดังนั้น จึงต้องแบ่งเงินจำนวน 3,200,000 บาท จากวัดชลธาราวาส เพื่อนำไปใช้ในแผนการขับเคลื่อนโครงการ ระยะที่ 1 โดยต้องให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปรับเงินที่นายเสถียรรับคืนจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร จำนวน 3,200,000 บาท ในวันที่ 28 สิงหาคม 2558 ที่วัดโคกสมานคุณ จ.สงขลา เพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมในจังหวัดของตน สำหรับในส่วนของเงิน จำนวน 3,200,000 บาท ที่จัดสรรให้กับวัดยูปาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 2 ในจังหวัดสงขลา ปัตตานี สตูล และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท และเงินจำนวน 3,200,000 บาท ที่จัดสรรให้กับวัดสุริยาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 3 ในจังหวัดปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนฯ พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่วัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม โดยไม่มีเอกสารประกอบการพิจารณา จึงเป็นการไม่ชอบ เอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เป็นการจัดทำเอกสารหลักฐานเท็จ ภายหลังที่นายเสถียรถูกจับกุม และการที่นางสาวประนอมทำหนังสือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2558 และลงวันที่ 31 สิงหาคม 2558 เป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการกระทำของนายเสถียรที่เรียกรับเงินจากวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม โดยทุจริต และเห็นว่าการจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้ทั้งสามวัดดังกล่าว จึงมิใช่เพื่อนำไปแบ่งดำเนินการในโครงการหรือกิจกรรมอื่นตามแผนการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 3 ระยะ รวมทั้งการที่นายเสถียรเรียกเงินจากวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม วัดละ 3,200,000 บาท โดยได้รับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาสจากพระครูบริหารสังฆานุวัตรในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 จึงไม่ได้มีเจตนาเพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมอื่นหรือเป็นการกระทำในการปฏิบัติราชการของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แต่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น
สำหรับการติดตามเงินคืนนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามเรียกเงินอุดหนุน จำนวน 12,000,000 บาท คืนจากวัดทั้งสามดังกล่าว และนำส่งกระทรวงการคลังแล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า
1. นางสาวประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 มาตรา 162(4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และมาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
2. นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157
3. นายประสงค์ จักรคำ ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ และนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนและมีส่วนในการจัดทำเอกสารเท็จเกี่ยวกับการขออนุมัติจัดสรรเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสาม มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 162(4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
4. นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร นักวิชาการศาสนาชำนาญการ นายดำรงค์ศักดิ์ เกตุแก้ว นักวิชาการศาสนาชำนาญการ และนายจักรเวทย์ เดชบุญ นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
หมายเหตุ การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด