Last updated: 22 ก.พ. 2568 | 1349 จำนวนผู้เข้าชม |
'คารม' กังวล 'ดีเอสไอ' นัดประชุมบอร์ดคดีพิเศษ 25 ก.พ.นี้ คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.เข้าเป็นคดีพิเศษ ส่อขัด กม.เพราะเป็นอำนาจ กกต. อัด รมว.ยธ.ใช้อำนาจขัด รธน.หวังล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 นายคารม พลพรกลาง สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะนักกฎหมาย แสดงความเห็นทางกฎหมายกรณี ที่มีกลุ่ม ผู้สมัคร สว. ที่ไม่ได้รับเลือกไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยอ้างว่าการเลือกสว.มีการฮั้วกัน และมีแนวโน้มว่า จะรับเป็นคดีพิเศษ เรื่องนี้ ต้องรับว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจมาก เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ถูกตั้งขึ้นในปี 2545 นั้นโดยมีเจตนาเพื่อเป็นพนักงานสอบสวนในคดีอาญา ในคดีอาชญากรรมที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ มีการกระทำความผิดที่ซับซ้อน เป็นเครือข่ายอาชญากรรมเดิมนั้น เดิมผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญาทุกประเภท คือพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ นั้น กำหนดให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้กำกับ เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ในการจัดตั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเห็นว่าต้องการให้มีพนักงานสอนสวนในคดีอาญาที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าคดีอาญาทั่วไป แต่ไม่น่าจะรวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้เฉพาะ และข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเพียงพนักงานสอบสวน เหมือนพนักงานสอบสวนคดีอาญาทั่วไป การฟ้องคดีจึงต้องส่งผ่านพนักงานอัยการ เพื่อฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามปกติของการฟ้องคดี
ส่วนสมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้ที่มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ . 2560 มาตรา 107 ถึง 113 การเลือกตั้ง หรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ฯ และคนรับรองสมาชิกวุฒิสภา คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต)
นายคารม กล่าวว่า การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะนัดประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 25 กุมภาพนธ์ 2568 เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีที่มีผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่ไม่ได้รับเลือกมาร้องและอ้างว่าการเลือกตั้ง เป็นไปโดยไม่ชอบนั้น จึงมีคำถามทางกฎหมาย ว่า
1. แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะบอกว่า อาจรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา สามารถทำได้เพราะถือกฎหมายคนละฉบับ แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งและละเอียดแล้ว การพ้นตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาภายหลังจาก กรรมการการเลือกตั้งรับรองแล้ว ย่อมเป็นไปตามมาตรา 111 ของรัฐธรรมนูญ แม้ดีเอสไอจะสอบสวนคดีพิเศษจะมีการดำเนินคดีก็อาจทำได้เฉพาะบุคคล แต่แม้จะดำเนินคดีอาญาเฉพาะบุคคล ในสมัยประชุม ก็ต้องขออำนาจจากสภา หากจะจับกุม คุมขังในสมัยการประชุมสภาก็ไม่อาจทำได้
2. คดีที่อ้างว่าการเลือกตั้ง สว. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับรองและยืนยันแล้ว ว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามคำกล่าวหา หรือคำร้อง และ กกต.เป็นองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง ได้รับรองแล้ว แต่หากดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษ และให้มีการดำเนินคดีอาญากับ สว.จะถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
3. การที่รัฐมนตรียุติธรรมอ้างว่า มีสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนถึง 138 คนและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีจนต้องพ้นตำแหน่งทั้ง 138 คน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่ง ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภา ก็ต้องมีการเลือกวุฒิสภาขึ้นใหม่ เพื่อให้ครบ 200 คนถึงจะปฎิบัติหน้าที่ได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ย่อมแปลได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถล้มการเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้ ทั้งที่สมาชิกวุฒิสภามาตามรัฐธรรมนูญ
4. การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร และเป็นผู้บังคับบัญชากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเพียงพระราชบัญญัติ และมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ มาดำเนินการ ซึ่งหากเป็นไปตามที่มีผู้สมัคร สว.ที่ไม่รับการเลือกตั้งร้องมา ก็อาจทำให้ สว.ต้องหลุดไป หรือปฎิบัติหน้าที่ไม่ได้ ถึง 138 คน นั้น ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ และมีผลอย่างไร หรือเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญาทั่วไป
“ประเด็นเรื่องนี้ จึงเป็นประเด็นที่สำคัญทางกฎหมายอย่างยิ่ง สามารถนำเอาไปทำวิทยานิพนธ์ ได้เลย เพราะเป็นใช้อำนาจ ขององค์กรฝ่ายบริหาร มาล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ดูสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นจุดจบของ ฝ่ายนิติบัญญัติ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถทำได้ เพราะถ้าตรวจสอบสมาชิกวุฒิสภาจนต้องหลุดไป ทั้งที่กกต. รับรองไปแล้ว ต่อไปก็จะมีการตรวจสอบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เช่น โดยมีการอ้างว่า มีการฮั้วการเลือกตั้ง อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน ผมเชื่อว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย ตอนร่างขึ้นไม่น่าจะเป็นแบบนี้“ นายคารม กล่าว